0 2583 8035,
09 8995 4650
ISO 9001:2015 Certified

ความร้อน สาเหตุที่ทำให้ ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น

รายละเอียด

ความร้อน (Heat) จัดเป็นอันตรายทางกายภาพที่สำคัญอย่างหนึ่งในสถานประกอบการ ในโรงงานอุตสาหกรรมจะพบว่า คนงานต้องประสบปัญหาความร้อน จากความร้อนในกระบวนการผลิต หรือจากเครื่องจักรต่างๆ ซึ่งประเภทของอุตสาหกรรมหรือกิจการที่ต้องทำงานเกี่ยวกับความร้อน เช่น การผลิตเยื่อกระดาษ การผลิตยางรถยนต์ การผลิตกระจก เครื่องแก้วหรือหลอดไฟ การถลุง หลอมหรือรีดโลหะ กิจการที่มีแหล่งกำเนิดความร้อนที่อาจทำให้ลูกจ้างได้รับอันตรายเนื่องจากความร้อน เชื่อว่าหลายๆสถานประกอบการในภาคอุตสาหกรรม กำลังมองหาแนวทางการแก้ปัญหา การป้องกันและการควบคุมความร้อน เพื่อความปลอดภัยต่อตัวผู้ปฏิบัติงานและเพื่อลดการสูญเสียความร้อน

การสูญเสียความร้อน (Heat Loss) ทราบหรือไม่ว่า“ความร้อน”เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ “ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น”ค่าไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นเกือบเท่าตัว เนื่องจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศและจากความต้องการในการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ ความร้อนส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมหลายๆแห่งของไทย ซึ่งตอนนี้ไทยกำลังเผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น จากค่าไฟ้ฟ้าที่มีการปรับราคาขึ้นไปสูงมากและไม่มีทีท่าว่าจะลดลง อีกทั้งพบว่าความร้อนจากแหล่งกำเนิดความร้อนหลายจุดในโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งไม่มีฉนวนกันความร้อนติดตั้งไว้ ทำให้เกิดการสูญเสียความร้อนและสิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากความร้อนที่ตัวเครื่องจักรเองแล้ว ปัจจัยที่ทำให้เกิดความร้อนได้นั้น อาจเกิดได้จากกระบวนการผลิต การออกแบบตัวอาคาร ระบบระบายอากาศ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สูญเสียพลังงานและส่งผลให้มีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น

เมื่อค้นหาสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น ณ เวลานี้ (ตุลาคม 2565) พบว่าเป็นการขึ้นค่าเอฟทีในช่วงปี 2565-2566 จาก 4 เหตุผลหลักคือ

1. ปริมาณก๊าซในประเทศที่ลดลงจากเดิม ทำให้ต้องนำเข้า Spot LNG เข้ามาเสริม

2. การผลิตก๊าซจากประเทศเมียนมาร์ไม่สามารถผลิตได้ตามกำลังการผลิตเดิมและมีแนวโน้มที่จะผลิตลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปี 2565 ถึงต้นปี 2566 ส่งผลให้เดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 รวมเป็น 93.43 สตางค์ต่อหน่วย และเมื่อรวมกับ “ค่าไฟฐาน” จะทำให้ค่าไฟฟ้าทำสถิติปรับขึ้นสูงที่สุดคือ 4.72 บาทต่อหน่วย จากเดิมอยู่ที่ 4.00 บาท

3. สถานการณ์ผู้ผลิต LNG ชะลอการลงทุนอันเนื่องมาจากมีความต้องการใช้พลังงานน้อยในช่วงโควิด-19 แต่หลังจากที่หลายประเทศเริ่มฟื้นตัวจากโควิดทำให้ความต้องการใช้ LNG มีมากกว่ากำลังการผลิตในตลาดโลก ส่งผลกระทบต่อราคาของ LNG

4. ภาวะสงครามรัสเซีย – ยูเครน ทำให้รัสเซียลดหรือตัดการจ่ายก๊าซธรรมชาติทางท่อไปยังยุโรป ส่งผลให้ความต้องการ LNG เพิ่มขึ้นอย่างมากในยุโรปและส่งผลกระทบทางอ้อมต่อราคา LNG ในตลาดเอเชีย

ZAVE® ฉนวนประหยัดค่าไฟฟ้า ของทาง (NTi) ช่วยลดปัญหาการสูญเสียความร้อน (Heat Loss)  ที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นจนน่าตกใจ  แต่ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการใช้ฉนวนแบบถอดได้ZAVE®วัสดุมาตรฐานจาก HKO Germany ทนอุณหภูมิได้ต่อเนื่องถึง 1000 °C  มีคุณสมบัติไม่ลามไฟ ไม่ติดไฟ ไม่เป็นเชื้อเพลิง ลดอุณหภูมิที่ผิวเครื่องจักร ลดการแผ่รังสีความร้อนในพื้นที่ปฏิบัติงาน ป้องกันความร้อนที่เป็นอันตรายต่อลูกจ้างขณะปฏิบัติงานที่ต้องสัมผัสกับความร้อนเป็นเวลานานๆ ให้พนักงานทำงานอย่างปลอดภัยจากความร้อน และยังช่วยประหยัดพลังงาน ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึง 20-30 % (ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ เวลาการทำงานของเครื่องจักร ความหนาฉนวน) ควบคุมการใช้พลังงานที่สิ้นเปลือง ลดต้นทุนการผลิต และฉนวนของเรายังสามารถถอดออกเพื่อทำความสะอาดเครื่องจักรข้างในได้อย่างสะดวกและสามารถใส่ฉนวนกลับเข้าไปได้แบบไม่ยุ่งยาก ลูกค้าสามารถถอดและใส่กลับได้เองโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ ที่สำคัญอายุการใช้งานของฉนวนZAVE® จะยาวนานกว่าฉนวนทั่วไป เนื่องจากความหนาแน่นของฉนวนที่มากกว่านั่นเอง

ค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้นจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป จัดการความร้อนแผ่ที่สูญเสียจากกระบวนการผลิตในโรงงานง่ายๆ โดยการเลือกใช้ฉนวนประหยัดพลังงาน ZAVE® ฉนวนอุตสาหกรรมแบบถอดได้ ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้จริง หรือติดต่อสอบถามฝ่ายขายของ NTi ให้ช่วยเลือกฉนวนที่เหมาะสมกับรูปแบบการใช้งานหรืองบประมานที่ท่านมี

Tag
แชร์